ในยุคที่ต้องดูแลสุขภาพมากเป็นพิเศษ การลดความอ้วนก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องหลักๆ ที่ทุกคนให้ความสนใจ นอกจากการออกกำลังกายแล้ว การทานอาหารในชีวิตประจำวันนั้นส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของเราอย่างมาก ปัจจุบันมีวิธีการลดน้ำหนักมากมายหลายวิธี หนึ่งในวิธีที่ได้รับความสนใจมากก็คือ วิธีการลดน้ำหนักด้วยคีโตเจนิคไดเอท หรือการกินคีโตที่เราคุ้นหูนั่นเอง
การกินคีโตและอาหารไขมันสูง ช่วยลดน้ำหนักได้!?
การกินคีโต และอาหารคีโตเจนิค คือการลดน้ำหนักด้วยอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำและมีไขมันสูง หากร่างกายได้รับปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ลดลง และถูกแทนที่ด้วยไขมัน ร่างกายของคุณจะไม่ได้ใช้คาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานในการผลิตกลูโคสอีกต่อไป ไขมันจึงกลายเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย ตับของคุณจะเริ่มนำไขมันบางส่วนมาเป็นโมเลกุลพลังงานที่เรียกว่าคีโตน(Ketone) เพื่อมาแทนที่พลังงานเดิมที่หายไป
เมื่อระดับของคีโตนในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างมาก สิ่งนี้จะทำให้ร่างกายของคุณอยู่ในสถานะเมตาบอลิซึมที่เรียกว่าภาวะคีโตซิส (Ketosis) เมื่อเซลล์ต่างๆในร่างกายเรารวมทั้งเนื้อเยื่อสมอง ปรับตัวให้เข้ากับการใช้คีโตน คีโตเจนิคไดเอทจะสามารถช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้โดยไม่หิวเพราะคุณรู้สึกอิ่มในขณะที่บริโภคไขมัน
ในการรับประทานคีโตเจนิค ร่างกายของคุณจะเปลี่ยนแหล่งเชื้อเพลิงเพื่อให้ไขมันได้ทำงานเกือบทั้งหมด ระดับฮอร์โมนลดน้ำตาลจะลดต่ำ และการเผาผลาญไขมันจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก การกินคีโตส่งผลต่อการลดน้ำหนักแบบเร่งด่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการทานอาหารประเภทอื่นๆ เพราะร่างกายในสภาวะการเผาผลาญไขมัน จะช่วยให้คุณลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่าการตัดเพียงแค่คาร์โบไฮเดรต ผลิตภัณฑ์น้ำตาล หรือลดแคลอรีที่อาหารแบบปกติ
Keto Diet ดีต่อสุขภาพจริงหรือ ?
งานวิจัยสมัยใหม่รวมทั้งโค้ช และกูรูสุขภาพหลายๆ คนเชื่อว่าการกินคีโตไดเอท (Keto Diet) สามารถส่งผลดีต่อสุขภาพได้หลากหลายประการ ทั้งช่วยลดน้ำหนัก ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน ช่วยควบคุมอาการของโรคลมชัก และอาจช่วยป้องกันโรคอื่นๆ ได้ด้วย โดยมีที่มาดังต่อไปนี้
1. การลดน้ำหนัก
การกินคีโตไดเอท (Keto Diet) เป็นหลักการกินเพื่อควบคุมน้ำหนักที่ทำได้ง่าย เพราะไม่จำเป็นต้องมีการนับและคำนวณปริมาณแคลอรี่ที่เราได้รับในแต่ละมื้อหรือ และไม่ต้องมีการจดบันทึกรายชื่ออาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวัน โดยมีงานวิจัยพบว่าการกินอาหารตามหลักการนี้สามารถช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันในร่างกาย เพิ่มการหลั่งฮอร์โมนเลปตินหรือฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกอิ่ม และลดปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายได้รับ ซึ่งเป็นปัจจัยใหญ่ๆที่มีส่วนช่วยให้น้ำหนักตัวลดลง นอกจากนั้น งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งได้เปรียบเทียบประสิทธิภาพในการช่วยลดน้ำหนักระหว่างหลักการกินเพื่อลดน้ำหนัก 2 รูปแบบ คือ จำกัดการบริโภคแป้งแบบ Keto Diet กับจำกัดการบริโภคไขมัน ซึ่งพบว่า Keto Diet ช่วยให้น้ำหนักลดลงในอัตราที่มากกว่าถึง 2.2 เท่า’
ประโยชน์หลักของอาหารที่เป็นคีโตเจนิคไดเอท คือความสามารถในการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว การจำกัดคาร์โบไฮเดรตให้เพียงพอให้อยู่ในภาวะคีโตซีสจะส่งผลให้ทั้งไขมันในร่างกายลดลงอย่างมีนัยสำคัญและเพิ่มหรือคงมวลกล้ามเนื้อไว้
ผลจากการศึกษาวิจัยยังแสดงให้เห็นอีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ Low-Fat Diet หรืออาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ และคีโตเจนิคแล้ว Keto Diet สามารถลดน้ำหนักได้มากกว่า หากทำในระยะเวลาติดต่อกันยาวนาน และเป็นเวลาที่เหมาะสม ผลวิจัยศึกษาที่พบในประเทศออสเตรเลียพบว่า คนที่มีโรคอ้วนสามารถลดน้ำหนักได้โดยเฉลี่ย 15 กก. ในช่วงเวลาภายในหนึ่งปี ซึ่งมากกว่าการไดเอทแบบ การทานอาหารไขมันต่ำ (Low-Fat Diet) ที่ใช้เปรียบเทียบกันในการศึกษาได้มากกว่าถึง 3 กก.
2. ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน และการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
สาเหตุหลักอีกประการหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานบางคนถึงควบคุมอาหารตามอาหารโปรแกรมที่เป็นคีโตเจนิคคือ ความสามารถในการลดและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ เนื่องจากคาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหาร และเป็นธาตุอาหารหลัก ที่ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นมากที่สุด เนื่องจากอาหารที่เป็นคีโตเจนิคมีคาร์โบไฮเดรตต่ำมาก จึงช่วยขจัดน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มสูงขึ้นได้
โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องจากร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลินหรือดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่คอยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยผู้ที่มีไขมันส่วนเกินสะสมอยู่ในร่างกายอย่างผู้ป่วยโรคอ้วน อาจเสี่ยงมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงและเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าปกติ
ลดการพึ่งยาเบาหวาน เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการลดระดับน้ำตาลในเลือด อาหาร ketogenic จึงมีประโยชน์เพิ่มเติมในการช่วยเหลือผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เพื่อลดการพึ่งพายารักษาโรคเบาหวาน ในการศึกษาโดย Westman ที่กล่าวถึงข้างต้น 95% ของคนในการศึกษาสามารถลดหรือเลิกใช้ยารักษาโรคเบาหวานได้อย่างสมบูรณ์
การศึกษาเกี่ยวกับอาหารที่เป็นคีโตเจนิคแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า คีโตไดเทอมีประสิทธิภาพมากในการลด HbA1c ซึ่งเป็นมาตรการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในระยะยาว การศึกษาวิจัยระยะเวลา 6 เดือนที่ดำเนินการโดยนาย Eric Westman และเพื่อนร่วมงานในปี 2008 พบว่าระดับ HbA1c ลดลงโดยเฉลี่ย 17 มิลลิโมล/โมล (1.5%) สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2
ผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดอื่น เช่น เบาหวานชนิดที่ 1 และ LADA สามารถหวังผลระดับน้ำตาลในเลือดที่จะลดลงอย่างมากและการควบคุมน้ำตาลในเลือดที่ดีขึ้น ซึ่งในหลายๆกรณีและผู้ปวยหลายๆคน เลือกทำโปรแกรมนี้และสามารถลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้ด้วย
นักวิจัยบางส่วนเห็นว่า Keto Diet มีส่วนช่วยสำคัญในการลดไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ในร่างกาย เป็นผลดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยมีงานวิจัยหนึ่งพบว่า Keto Diet อาจช่วยควบคุมอาการของโรคไม่ให้รุนแรงขึ้นได้หลังให้ผู้ป่วยโรคอ้วนที่เป็นเบาหวานกินอาหารตามหลัก Keto Diet ติดต่อกัน 16 สัปดาห์ โดยผลการทดลองปรากฏว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
อย่างไรก็ตาม การกินตามหลักการนี้ควบคู่กับการใช้ยารักษาโรคเบาหวานอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งระดับน้ำตาลในเลือดที่ลดลงผิดปกติอาจทำให้เป็นอันตรายได้ ดังนั้น ผู้ป่วยเบาหวานจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจกินอาหารตามหลัก Keto Diet เสมอ เพื่อให้แพทย์พิจารณาว่าควรหยุดยาหรือลดปริมาณการใช้ยาหรือไม่
3. ควบคุมอาการของโรคลมชัก
โรคลมชักเป็นความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางในสมอง ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการชัก ประสาทสัมผัสผิดเพี้ยน หรือสูญเสียการรับรู้ การรักษาโรคลมชักนั้นทำได้หลายวิธี โดยแพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ยาควบคุมอาการหรือเข้ารับการผ่าตัด แม้ผู้ป่วยบางรายจะหายขาดจากโรคนี้ได้ แต่ก็มีบางกรณีที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ และผู้ป่วยจำเป็นต้องดูแลตัวเองและรับประทานยาเพื่อป้องกันอาการชักไปตลอดชีวิต ดังนั้น การเลือกรับประทานอาหารก็อาจเป็นส่วนสำคัญในการดูแลสุขภาพผู้ป่วยด้วย หรือแม้แต่อาจช่วยควบคุมอาการของโรคนี้ได้
มีงานวิจัยหนึ่งที่ศึกษาประสิทธิภาพของ Keto Diet ในการยับยั้งอาการชัก โดยให้เด็กอายุ 3-6 ปีที่ป่วยเป็นโรคลมชักกินอาหารตามหลัก Keto Diet ติดต่อกัน 1 ปี แล้วพบว่าผู้ป่วยเกิดอาการชักน้อยลง การกินอาหารตามหลักการนี้จึงอาจช่วยควบคุมอาการของโรคลมชักได้ อย่างไรก็ตาม การศึกษาประสิทธิภาพของ Keto Diet ในด้านนี้ยังมีจำกัด จึงจำเป็นต้องรองานวิจัยเพิ่มเติมในอนาคตที่จะสามารถยืนยันผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน
4. ลดภาวะความไวต่ออินซูลิน
ปัจจุบัยผู้คนนับล้านคนทั่วโลกอาศัยอยู่กับโรคความดันโลหิตสูง ภาวะสุขภาพหลายอย่างเกี่ยวข้องกับความดันโลหิตสูง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไต นอกจากนี้ยังเป็นอาการซึ่งนำไปสู่ ภาวะเมแทบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome)
ภาวะเมแทบอลิกซินโดรมคือ ภาวะที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารของร่างกายที่ผิดปกติไป ทำให้เกิดปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันสูง ซึ่งต่อมาภาวะเหล่านี้จะส่งผลให้มีปัญหาต่อหลอดเลือดและหัวใจ เกิดหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาตได้ในที่สุด ซึ่งภาวะเมแทบอลิกซินโดรมนี้มักพบในผู้ป่วยที่ไขมันในช่องท้องมาก
ผลการศึกษาจำนวนหนึ่งแสดงให้เห็นว่าการรับประทานอาหารที่เป็นคีโตเจนิคสามารถลดระดับความดันโลหิตในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
5.การควบคุมความดันโลหิตสูง
มีการศึกษาพบว่าคีโตเจนิคไดเอท สามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายจากภาวะความไวต่ออินซูลิน เนื่องจากช่วยขจัดสาเหตุที่แท้จริงของการดื้อต่ออินซูลินซึ่งเป็นระดับอินซูลินที่สูงเกินไปในร่างกาย
คีโตเจนิคไดเอทช่วยส่งเสริมระยะเวลาที่อินซูลินต่ำอย่างยั่งยืน เนื่องจากระดับคาร์โบไฮเดรตต่ำหมายถึงระดับอินซูลินที่ต่ำลง อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ก็เหมือนกับการใส่น้ำมันเบนซินลงบนกองไฟของการดื้อต่ออินซูลิน คาร์โบไฮเดรตสูงหมายถึงความต้องการอินซูลินที่มากขึ้น และทำให้การดื้อต่ออินซูลินแย่ลง โดยเมื่อเปรียบเทียบแล้ว การรับประทานอาหารที่เป็นคีโมจีนิกจะทำให้ระดับอินซูลินลดลง เนื่องจากไขมันเป็นสารอาหารหลักที่ต้องใช้อินซูลินน้อยที่สุด การลดระดับอินซูลินลงยังช่วยในการเผาผลาญไขมัน เนื่องจากระดับอินซูลินที่สูงจะช่วยป้องกันการสลายตัวของไขมัน เมื่อระดับอินซูลินลดลงเป็นเวลาหลายชั่วโมง ร่างกายสามารถสลายเซลล์ไขมันได้
6. ระดับคอเลสเตอรอล
โดยภาพรวมแล้ว คีโตเจนิคไดเอทมักจะส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลดีขึ้น เป็นเรื่องปกติที่ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดจะลดลงและระดับคอเลสเตอรอล HDL จะเพิ่มขึ้น ซึ่งดีต่อสุขภาพ
การวัดโคเลสเตอรอลแม่นยำที่สุดวิธีหนึ่งคืออัตราส่วนของโคเลสเตอรอลรวมต่อ HDL ซึ่งสามารถพบได้ง่ายโดยนำผลคอเลสเตอรอลรวมของคุณมาหารด้วยผล HDL ของคุณ
หากตัวเลขที่คุณได้รับคือ 3.5 หรือต่ำกว่า แสดงว่ามีคอเลสเตอรอลที่ดีต่อสุขภาพ การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าการรับประทานอาหารคีโตเจนิคมักมีประสิทธิภาพในการปรับปรุงสุขภาพของคอเลสเตอรอลนี้
สำหรับบางคนอาจแสดงการเพิ่มขึ้นของค่า LDL และคอเลสเตอรอลรวม หลังจากเริ่มทำคีโตเจนิค โดยปกติแล้วถือว่า สามารถถือได้ว่าเป็นสัญญาณเชิงลบ แต่ถ้าอัตราส่วนของคอเลสเตอรอลรวมต่อ HDL ของคุณดี ก็ไม่ได้หมายความว่าสุขภาพหัวใจจะแย่ลงเสมอไป
คอเลสเตอรอลเป็นหัวข้อที่ซับซ้อน และแพทย์ประจำตัวของคุณคือแหล่งคำแนะนำที่ดีที่สุด หากระดับคอเลสเตอรอลของ คุณเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในอาหารที่เป็นคีโตเจนิค
คุณควรมีการตรวจสอบระดับคอเลสเตอรอลของคุณอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อให้สามารถตรวจพบและจัดการผลกระทบด้านลบต่อคอเลสเตอรอลได้อย่างเหมาะสม
7. สมรรถภาพทางจิตที่แข็งแกร่งขึ้น
ความชัดเจนทางจิต ความสามารถในการโฟกัสที่เพิ่มขึ้น และความจำที่ดีขึ้นเป็นข้อดีอื่นๆ ที่รายงานโดยทั่วไปของการรับประทานอาหารที่เป็นคีโตจีนิก
การเพิ่มการบริโภคไขมันที่ดีต่อสุขภาพด้วยโอเมก้า 3 เช่นที่พบในปลาที่มีน้ำมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาแมคเคอเรล
ใครทำคีโตเจนิคไดเอทได้บ้าง คุณกินคีโตได้รึเปล่า?
อาหารคีโตเจนิคเหมาะสำหรับคนส่วนใหญ่ ยกเว้นผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอควรพบแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานอาหาร ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่รวมถึงสตรีมีครรภ์ เด็ก ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ผู้ที่มีดัชนีมวลกายต่ำมาก และผู้ที่มีภาวะอาการต่างๆที่อาหารคีโตเจนิคอาจจะทำให้โรคและอาการรุนแรงขึ้น
ถึงแม้ว่าการกินคีโตเจนิคไดเอท จะมีส่วนช่วยลดน้ำหนักและดูแลหุ่นได้จริงๆ แต่ผลข้างเคียงนั้นก็สามารถเป็นปัญหาให้คนหลายๆกลุ่มได้เช่นกัน เพราะการกินอาหารประเภทเดียวกันติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ อาจทำให้คุณเกิดภาวะขาดสารอาหารที่จำเป็น
ทำให้ร่างกายของคุณสูญเสียระบบสมดุลในการทำงาน เกิดผลข้างเคียงซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ดังต่อไปนี้
ภาวะขาดสารอาหาร
1.ขาดสารอาหาร เนื่องจากการต้องหยุด ลด หรืองดปริมาณอาหารบางหลายประเภท เป็นสาเหตุให้ร่างกายได้รับสารอาหารสำคัญไม่เพียงพอ จนเกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมาภายหลัง โดยที่คุณอาจรู้ตัวหรือ ไม่รู้ตัวก็ได้
2.ขาดน้ำและแร่ธาตุ โมเลกุนคีโตนที่เกิดจากกระบวนการคีโตซิส จะถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ ส่งผลให้คุณมีการเข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะบ่อย และมากกว่าปกติ ซึ่งอาาจะนำไปสู่การสุ่มเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำและแร่ธาตุ และเสี่ยงต่อภาวะไตเสียหายฉับพลัน หรือเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้
3.มวลกระดูกและกล้ามเนื้อลดลง เนื่องจากการที่จะต้องตัดคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเคยเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย รวมไปถึงแร่ธาตุบางชนิดที่อาจจะถูกงดไปเพราะการกินคีโต อาการเหล่านี้อาจส่งผลต่อ กระบวนการสร้างมวลกระดูกและกล้ามเนื้อ นำไปสู่ภาวะมวลกระดูกและกล้ามเนื้อที่ลดลงในระยะยาว(หากยังกินคีโตไดเอทต่อไป)
4.ภาวะโยโย่ (Yoyo Effect) หากคุณใช้วิธีลดน้ำหนักแบบการกินคีโต แต่ไม่สามารถควบคุมให้มีความต่อเนื่องได้ เป็นการคุมๆหยุดๆ กินตามโปรแกรมบ้าง ไม่กินตามโปรแกรมบ้าง การกินลักษณะนี้อาจทำให้น้ำหนักตัวที่ลดลงไปแล้ว เด้งกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้คุณเสี่ยงต่อโรคอ้วนหรือโรคเบาหวานตามมา
5.อาการไข้คีโต (Keto Flu) ในช่วงระยะแรก ที่คุณเริ่มต้นการกินแบบคีโตเจนิค ไดเอท ร่างกายของคุณอาจจะไม่สามารถปรับตัวได้ทัน อาจจะมีอาการไม่สบายตัว คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย คล้ายกับเป็นคนมีไข้ แต่อาการจะค่อยๆ ลดระดับลง และหายไปภายใน 1 สัปดาห์ในที่สุด
6.โรคไต เนื่องจาdการกินคีโต มีการกินอาหารโปรตีนสูง เพื่อทดแทนคาร์โบไฮเดรตที่หายไป การกินอาการที่มีโปรตีนสูงเป็นระยะเวลาติดต่อกัน อาจส่งให้ผลไตต้องทำงานหนัก จึงเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง หรือเสี่ยงเป็นโรคไตเสื่อมได้
7.ปัญหาสุขภาพ โดยส่วนใหญ่การลดน้ำหนักด้วยการกินคีโต มักมีผลค้างเขียง และมีผลกระทบต่อสุขภาพชีวิตประจำวัน เช่น รู้สึกเหนื่อยล้าตลอดวัน มีอาการท้องผูก ประจำเดือนมาไม่ปกติ มีปัญหาในการนอนหลับ มีกลิ่นในปากและลำคอเนื่องมากจากการกินอาหารแบบคีโต เป็นต้น
ใครที่ควรหลีกเลี่ยงการลดน้ำหนักแบบคีโต?
- ผู้ที่มีปัญหาเรื่องการเผาผลาญไขมัน การกินอาหารไขมันสูง จะทำให้ผู้ที่มีปัญหาในการเผาผลาญไขมัน เกิดการสะสมของไขมัน ทำให้คอเรสเตอรอลในเลือดสูง ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้
- ผู้ที่มีเป็นโรคตับเป็นโรคประจำตัว เนื่องจากภาวะคีโตซิสที่ร่างกายได้รับมาจาก การกินคีโต ทำให้ตับต้องทำหน้าที่เผาผลาญไขมัน ส่งผลให้ตับทำงานหนักกว่าปกติ อาจทำให้ผู้ที่ตับมีปัญหาอยู่แล้ว เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
- ผู้ที่เป็นโรคไต การลดน้ำหนักแบบคีโต จำเป็นที่จะต้องกินโปรตีนเยอะ ซึ่งส่งผลให้ผู้ที่มีปัญหาเรื่องไต เกิดภาวะไตเสื่อมได้
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน เฉพาะผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 1 ที่มีภาวะขาดฮอร์โมนอินซูลิน (อ้างอิงข้อมูลจาก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์) ซึ่งร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้ จึงต้องเข้าสู่ภาวะคีโตซิส หากยิ่งใช้วิธีกินคีโต จะยิ่งทำให้คีโตนในเลือดสูง ทำให้ผู้ป่วยเบาหวาน เกิดภาวะเลือดเป็นกรด ร่วมกับน้ำตาลในเลือดสูง หรือเรียกว่าภาวะไดอะบีติค คีโตเอซิโดซิส (Diabetic Ketoacidosis : DKA)
- ผู้ที่มีภาวะไตเสื่อมอาจต้องระวังการกินโปรตีนมากเกิน จากการกินอาหารคีโต ทำให้ไตเสื่อมมากขึ้นได้
ที่ TheLifeCo Phuket
เราปรับอาหารคีโตเจนิคให้เข้ากับอาหารมังสวิรัติได้อย่างง่ายดาย ด้วยโปรแกรมคีโตเจนิคจากพืช ซึ่งเป็นแผนโภชนาการที่ร่างกายจะได้รับพลังงานทั้งหมดจากไขมันจากพืชแทนน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต
เป็นเรื่องยากมากกว่าในการเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงานหากเทียบกับการเปลี่ยนคาร์บให้เป็นพลังงาน อาหารคีโตสามารถเข้าไปช่วยให้น้ำหนักลดลงเร็วขึ้นเพราะมันต้องใช้ความพยายามมากกว่าเดิมในการนำไขมันมาเป็นแหล่งพลังงานในการเผาผลาญแทนคาร์บ และยังทำให้คุณไม่รู้สึกหิวเหมือนกับอาหารประเภทอื่น ๆ เนื่องจากอาหารคีโตอุดมไปด้วยโปรตีน
'ทุกสิ่งที่มากเกินไปนั้นขัดกับธรรมชาติ' ฮิปโปเครติส
การรับประทานอาหารคีโตเจนิคสามารถป้องกันมะเร็งหรือโรคอื่นได้ หรือไม่? การถือศีลอดหรือ การตัดและควบคุมอาหารบางประเภทออกจากการกินนั้นมีประวัติที่สามารถย้อนกลับไปได้ถึง 500 ปีก่อนคริสตกาล
มีการวิจัยจำนวนมากและมีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการรับประทานอาหารคีโตเจนิคมีประโยชน์ต่อสภาวะทางการแพทย์หลายอย่าง เช่น โรคอ้วน เบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคทางระบบประสาท รวมทั้งโรคลมบ้าหมู และมะเร็ง
ตามข้อมูลของ WHO (องค์การอนามัยโลก) ประมาณหนึ่งในสามของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเป็นเพราะความเสี่ยงด้านพฤติกรรมและการบริโภคอาหาร สาเหตุหลัก 5 สาเหตุ ได้แก่ ดัชนีมวลกายสูง การบริโภคผักและผลไม้ต่ำ การขาดการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ และบริโภคแอลกอฮอล์อย่างเกินพอดี
คุณสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยง 3 ปัจจัยดั่งกลาวได้โดยการรับประทานอาหารคีโตเจนิค เพราะคุณจะ
- ลดน้ำหนัก และอาจจะสามารถรักษาน้ำหนัก สุขภาพ และรูปร่างอย่างนั้นไว้ได้ตราบที่คุณยังควบคุมการกิน
- คุณจะเพิ่มปริมาณผักของคุณ (ไม่ใช่ผลไม้เพราะมีน้ำตาล แม้ว่าจะมีข้อยกเว้นเช่นผลเบอร์รี่บางชนิด)
- คุณจะลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายชนิดมีคาร์โบไฮเดรตสูง
อาหารคีโตเจนิคช่วยป้องกันมะเร็งโดยการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณให้ต่ำลง และลดระดับฮอร์โมนในเลือดของคุณให้ต่ำลง
การกินคีโตเจนิคไดเอท ช่วยหลีกเลี่ยงโรคมะเร็งได้อย่างไร?
ร่างกายของเราต้องการเชื้อเพลิงในการทำงาน เราบริโภคคาร์โบไฮเดรต โปรตีน หรือไขมัน มีสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับคาร์โบไฮเดรตที่คุณอาจจะยังไม่รู้คือ:
เมื่อคุณย่อยคาร์โบไฮเดรต พวกมันจะเข้าไปทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคุณพุ่งสูงขึ้นและด้วยเหตุนี้ในฮอร์โมนที่ลดน้ำตาลจะย้ายกลูโคสจากเลือดเข้าสู่เซลลในร่างกายคุณ นี่คือปัจจัยหลักๆที่ส่งผลกับฮอร์โมนลดน้ำตาลและเซลล์มะเร็ง เซลล์มะเร็งมีตัวรับฮอร์โมนลดน้ำตาลมากกว่าเซลล์ปกติ
เซลล์มะเร็งกิน กลูโคส มากกว่าเซลล์ปกติมาก แต่พวกมันไม่ค่อยเก่งเรื่องการใช้คีโตนในเลือดของคุณเป็นมาเป็นแหล่งพลังงาน เมื่อร่างกายของคุณอยู่ในภาวะคีโตซีส ซึ่งหมายความว่าน้ำตาลในเลือดของคุณต่ำมาก เซลล์มะเร็งจะอดอาหาร เพราะขาดกลูโคสในเลือด หลายๆคน ใช้การกินอาหารแบบคีโตเจนิคสำหรับการลดน้ำหนัก และเมื่อใช้เพื่อลดน้ำหนัก หรือควบคุมแคลอรี่ พลังงานประมาณ 60-75% จะเป็นพลังงานที่มาจากไขมัน โดยแคลอรี 15-30% จะมาจากโปรตีน และ 5-10% ที่เหลือ จะเป็นแคลอรีมาจากคาร์โบไฮเดรต หากใช้ในการรักษาโรค ปริมาณไขมันอาจสูงขึ้น (มากถึงร้อยละ 90 ของแคลอรี) และตามปริมาณโปรตีนจะลดลง
สรุปประโยชน์ของโปรแกรมคีโตเจนิคไดเอท
โปรแกรมอาหาร ketogenic เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักเนื่องจากปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ลดลงอย่างมากซึ่งบังคับให้ร่างกายของคุณเผาผลาญไขมันแทนการทานคาร์โบไฮเดรตเป็นพลังงาน
- สมาธิและการรับรู้ของร่างกายดีขึ้น
- ระดับพลังงานที่ดีขึ้น
- ความหิวน้อยลง
- ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ จากการลดคาร์โบไฮเดรต
- สุขภาพผิวดีขึ้นโดยเฉพาะคนเป็นสิว
- ระดับไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลดีขึ้น
- การควบคุมฮอร์โมนและอาการ PMS ที่รุนแรงน้อยลง
เรากินอะไรได้และไม่ได้?
สิ่งที่กินได้
- ผักใบเขียว – ผักโขม คะน้า เป็นต้น
- ผักบนดิน – บร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก ฯลฯ
- ถั่วและเมล็ดพืช – แมคคาเดเมีย วอลนัท เมล็ดทานตะวัน ฯลฯ
- อะโวคาโดและผลเบอร์รี่ – ราสเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ และผลเบอร์รี่อื่นๆ ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
- ไขมันอื่นๆ – น้ำมันมะพร้าว น้ำสลัดที่มีไขมันสูง ไขมันอิ่มตัว เป็นต้น
สิ่งที่กินไม่ได้
- ธัญพืช – ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าว ซีเรียล ฯลฯ
- น้ำตาล – น้ำผึ้ง หางจระเข้ น้ำเชื่อมเมเปิ้ล ฯลฯ
- ผลไม้ – แอปเปิ้ล กล้วย เป็นต้น
- รากผัก – มันฝรั่ง มันเทศ ฯลฯ